เยอรมัน หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เป็นประเทศที่มีการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญในทวีปยุโรปตอนกลาง โดยเป็นการรวมตัวของรัฐทั้งหมด 16 รัฐ ประเทศนี้มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ พรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ของประเทศคือเบอร์ลิน เยอรมันมีประชากรประมาณ 80 ล้านคนและเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรสูงสุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีคนย้ายถิ่นมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเยอรมันเป็นปลายทางการย้ายถิ่นที่สองได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

เยอรมันเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและยังก่อตั้งสหภาพการเงินกับสมาชิกในสหภาพยุโรปอีก 17 ประเทศ โดยใช้ชื่อว่ายูโรโซน เยอรมันเป็นสมาชิกของกลุ่ม UNO, OECD, NATO, G7 และ G20 เยอรมันเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆในยุโรปและเป็นประเทศที่มีความสามารถที่จะแข่งขันในระดับโลก

หากวัดจากผลผลิตมวลรวมภายในประเทศแบบปกติแล้ว เยอรมันเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก ในปี 2012 เป็นประเทศที่มีการนำเข้าส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสาม ดัชนีการพัฒนามนุษย์ถือว่าสูงมาก

ภูมิศาสตร์กายภาพ

เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้

พรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ พรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3757 กิโลเมตร ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในยุโรป[ต้องการอ้างอิง]

ภูมิศาสตร์มนุษย์

กว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ของประเทศได้มีการใช้ในเชิงพาณิชย์แล้ว (ปี ค.ศ. 2009) เยอรมนีมีพื้นที่ป่าไม้ประมาณ 29.5 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหรือสาธารณูโภค (เช่น ถนน ทางรถไฟ) พื้นที่น้ำมีอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์

เยอรมนีแบ่งการปกครองในระบบสหพันธรัฐ มีทั้งหมด 16 รัฐ (เยอรมัน: Bundesland, บุนเดิสลันท์) แต่ละรัฐจะมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตัวเองและจะมีกระทรวงการปกครองบริหารสูงสุดซึ่งจะดูแลรัฐทุกรัฐของเยอรมนี

เบอร์ลิน (Berlin)

เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ อดีตสัญลักษณ์สำคัญของการแบ่งโลกเป็นสองขั้วอำนาจ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรีและฮาเฟลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี โอบล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่โลกต้องจดจำ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เบอร์ลินได้ถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ และในช่วงภาวะตึงเครียดของสงครามเย็น กำแพงเบอร์ลินก็ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตแดนแบ่งความเป็นเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก เรียกว่าเมื่ออย่างเข้าสู่เบอร์ลินคุณจะได้สัมผัสถึงร่องรอยแห่งอดีตที่หลงเหลือไว้เป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามมากมายหลายแห่ง หนึ่งแห่งที่สำคัญและหากมาแล้วไม่ไปเยือนก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเบอร์ลิน ก็คือ ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor) สัญลักษณ์สำคัญของเมือง ที่ยังหลงเหลือเส้นแนวกำแพงเดิมให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เห็นถึงอดีตอันเลวร้ายของสงคราม นอกจากสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือนแล้ว เบอร์ลินยังมีศูนย์กลางความบันเทิงอันทันสมัยอย่างหอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ม (Fernsehturm) ที่อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ (Potsdamer Platz) อาคารที่สูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป คุณสามารถมองเห็นหอโทรทัศน์แห่งนี้ได้จากเกือบทุกเขตศูนย์กลางของเมือง นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปนั่งรับประทานอาหารกินลมชมวิวเมืองเบอร์ลินกันแบบชิลๆ

ไปเที่ยวช่วงไหนดี ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปทัวร์เบอร์ลิน คือมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่อบอุ่นที่สุด อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 16.7 – 17.9°C เท่านั้น แต่หากอยากไปพบกับหิมะและอากาศหนาว ช่วงตุลาคมและพฤศจิกายนเป็นช่วงที่เริ่มหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6°C ช่วงที่หนาวที่สุดอุณหภูมิติดลบ คือ ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จะไปช่วงเวลาใด ต้องไม่ลืมเตรียมเสื้อผ้าให้เข้ากับฤดูกาล

ฮัมบูร์ก (Hamburg)

เมืองท่าใหญ่อันดับสองของเยอรมัน ตั้งอยู่บริเวณใต้สุดของคาบสมุทรจั๊ดแลนด์ในยุโรป ได้รับการขนานนามว่า “ประตูสู่โลก” (Gateway to the World) เพราะมีท่าเรือขนาดใหญ่และมีความคึกคักมากเป็นอันดับสองของสหภาพยุโรปอย่างท่าเรือฮัมบูร์ก ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญและถือเป็นหนึ่งใน เมืองที่รวยที่สุดในยุโรปไปโดยปริยาย แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจจึงหนีไม่พ้นบริเวณท่าเรือ เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าสู่เมืองนี้ คุณจะได้พบกับห้างร้านที่สำคัญๆ ของเยอรมนี และสถาบันการเงินหลายต่อหลายแห่ง รวมถึงธนาคารที่เก่าแก่ในเยอรมันอย่าง ธนาคารแบร์มเบริก นักท่องเที่ยวนิยมแวะเดินเที่ยวกินบรรยากาศเก่าๆ ที่ย่านซังท์เพาลี (St. Pauli) ย่านเก่าแก่ของเมือง ซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อ ย่านแสงสีแดง (Red-Light District) และเที่ยวชมความงดงามของเหล่าอาคารคลังสินค้าที่สร้างขึ้นจากอิฐสีแดงที่โกดังชไปเคอชตัท (Speicherstadt ) โดยหนึ่งในคลังสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ชื่อว่า เคชไปเคอร์ บี (Kaispeicher B) ได้กลายมาเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์การเดินเรือระหว่างประเทศในปัจจุบัน

ไปเที่ยวช่วงไหนดี ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมเป็นช่วงที่ฮัมบูร์กมีสภาพอากาศอบอุ่นเย็นสบาย เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง ถือโอกาสหนีร้อนตับแล่บจากไทยไปพึ่งอากาศอุ่นๆ เย็นๆ ก็เป็นการดีไม่ใช่น้อย หรือช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงสิงหาคมที่เป็นฤดูร้อนของฮัมบูรก์ก็ยังสามารถตะลอนทัวร์ได้อย่างสบายๆ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20.1 – 23.5°C ก็ถือว่าไม่ร้อนมากเท่าไหร่ แต่ถ้าชอบอากาศหนาวแบบสุดขั้วต้องไปช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นฤดูหนาว ต้องบอกก่อนเลยว่าเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์อากาศติดลบถึง 9°C เลยทีเดียว คงต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปหลายสิบตัวถึงจะเอาอยู่

เดรสเดิน (Dresden)

เมืองท่องเที่ยวเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำเอลเบอ (Elbe River) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงเบอร์ลิน เป็นเมืองเก่าอีกแห่งที่เต็มไปด้วยความสวยงามและน่าสนใจ แบ่งเขตเมืองออกเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เขตเมืองเก่า เรียกว่า ออลท์แสตดท์ (Altstadt) เป็นส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวมีดีกรีได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม และขอบอกว่าเมื่อคุณมาถึงอาณาบริเวณเขตเมืองเก่า คุณจะไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ถึงได้รับการขึ้นทะเบียน แทบทุกจุดของเขตเมืองเก่า เต็มไปด้วยความสวยงามที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากความเสียหายจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนงดงามน่าทึ่ง รับรองว่าคุณจะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเก็บบรรยากาศความงามกันแทบไม่ทัน แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเก็บภาพความทรงจำ เริ่มต้นที่บริเวณ “ตลาดใหม่นอยมาร์ค” (Neumarkt) เพราะบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ฟราวเอนเคียเช่อ (Frauenkirche) โบสถ์โปรเตสแตนท์สายตรงจากมาร์ติน ลูเธอร์ ที่ได้รับการบูรณะใหม่จนสวยงาม และที่ด้านหน้าโบสถ์จะมีอนุสาวรีย์ของมาร์ติน ลูเธอร์ตั้งอยู่ด้วย อีกหนึ่งจุดที่งดงามและน่าสนใจไม่แพ้กันคือ เฟอร์เต็นซูก (The Fürstenzug) กำแพงที่ได้รับการประดับประดาด้วยกระเบื้องที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 101 เมตร แต่เดิมเป็นภาพเขียนสีบรรยายถึงขบวนเสด็จของเจ้าแห่งแซกโซนี (Saxony) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนถึงองค์สุดท้ายในศตวรรษที่ 20 และผู้สืบทอดราชวงศ์ Wettins แต่ด้วยสภาพอากาศและกาลเวลาทำให้ภาพเขียนสีเกิดความเสียหายและถูกลดทอนความงดงามลงไปมาก ในปี ค.ศ. 1907 จึงได้มีการนำกระเบื้องเคลือบพอร์ชเลนกว่า 25,000 ชิ้น มาปิดทับแทน และตั้งแต่นั้นมากำแพงแห่งนี้ก็คงความงดงามรอนักเที่ยวมาเยี่ยมชมจนถึงปัจจุบัน

ไปเที่ยวช่วงไหนดี เดือนมีนาคมไปจนถึงพฤษภาคม อยู่ในช่วงของฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างอบอุ่น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 10 – 20°C เหมาะแก่การเดินทางไปท่องเที่ยวดริสเดน เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อหนาวไปมากมาย แต่ถ้าหากเป็นช่วงตุลาคมและพฤศจิกายนเป็นต้นไปนั้น จะเป็นช่วงของฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6°C ถ้าชอบอากาศหนาวเย็นไปช่วงของหน้าหนาวก็จะได้สัมผัสความเย็นแบบสุดๆ ยิ่งในธันวาคมไปถึงกุมภาพันธ์จะเป็นช่วงหนาวสุดๆ อุณหภูมิติดลบด้วยนะ ต้องเตรียมเสื้อผ้าในการออกทริปดีๆ

โคโลญจน์ (Cologne)

เมืองแห่งน้ำหอมและมหาวิหารสวยงามและยิ่งใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ จัดเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน สร้างขึ้นโดยชาวโรมันตั้งแต่สมัย ค.ศ. 50 กันเลยทีเดียว มหาวิหารสำคัญของเมือง ที่ชื่อว่า เคิล์นโดม (Cologne Cathedral) เป็นมหาวิหารโคโลญจน์แห่งเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2536 จัดเป็นไฮไลท์ของเมืองที่นักเที่ยวไปเที่ยวชมมากที่สุด วิหารแห่งนี้ ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 600 ปีเชียวนะ และปัจจุบันก็ยังมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ตลอด เมื่อคุณไปหยุดยืนยังบริเวณของมหาวิหาร คุณจะสัมผัสได้ถึงความงดงาม อลังการและยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม โดมแฝดใหญ่ยักษ์สไตล์โกธิคที่ใหญ่และสูงที่สุดในสมัยอดีต เมื่อถ่ายรูปคู่กับตัววิหารทั้งหมด คุณจะพบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว บริเวณใกล้กับวิหาร จะมีสะพานสายสำคัญทอดยาวข้ามแม่น้ำไรน์ เชื่อมตัวเมืองโคโลญจน์ทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ สะพานโฮเฮนโซลแลร์นบรุคเคอ (Hohenzollernbrucke) เป็นอีกไฮไลท์ที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด บริเวณราวสะพานจะเต็มไปด้วยกุญแจของเหล่าคู่รักนักท่องเที่ยวที่นำมาติดไว้มากมาย เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของการมาเยือนโคโลญจน์ ยังไม่หมดแค่นั้นนะ โคโลญจน์ยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตบนตึกลอยน้ำริมแม่น้ำไรน์ มีดีที่น้ำพุช็อกโกแลต คุณจะได้เจอเจ้าหน้าที่ใจดีคอยนำวาฟเฟิลอุ่นๆ มาให้จุ่มกับช็อคโกแลตทานเล่นระหว่างเดินเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์ และอย่าลืมแวะช้อปปิ้งน้ำหอมที่ “ออดิโคโลญจน์ 4711” จะได้ไม่เสียที ที่มาเที่ยวเมืองน้ำหอม

ไปเที่ยวช่วงไหนดี ช่วงเดือนมิถุนายน จนถึงเดือนสิงหาคม เป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศอุ่นกำลังดี อุณหภูมิอยู่ที 18 – 20°C เหมาะแก่คนที่ไม่ชอบเที่ยวในอากาศหนาวจัด ช่วงเดือนกันยายน ถึง เดือนพฤศจิกายน เป็นอีกช่วงที่น่าเที่ยวไม่แพ้กัน เป็นช่วงของฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลงดอกไม้เริ่มเปลี่ยนสีสวยงาม แต่อาจจะประสบพบเจอกับฝนบ้าง มาช่วงนี้จึงควรเตรียมเสื้อกันฝนหรือพกร่มกันไว้บ้าง

ประวัติศาสตร์เยอรมนี

การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว[6] เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี[7] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ “นีแอนเดอร์ทาล” เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธและกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ[8] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก “ไลออนแมน” ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ[9]

กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์

ดูบทความหลักที่: กลุ่มชนเจอร์แมนิก และ สมัยการย้ายถิ่น

คาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ไปจนถึงยุคเหล็กก่อนการก่อตั้งกรุงโรมนั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวียไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก[10] ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์และเทือกเขายูรัล ในค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุสแห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาในค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุสเขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราวค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน[11] ภายหลังการรุกรานของชาวฮันในปี 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ปี 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่างๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน

อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

อาณาจักรแฟรงก์และการขยายดินแดน และถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรในปี 843
อาณาจักรแฟรงก์และการขยายดินแดน และถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรในปี 843

ดูบทความหลักที่: อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก และ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

ในค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาในปีค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา[12] สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:

  • อาณาจักรแฟรงก์กลาง – บริเวณเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตะวันออกของฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และภาคเหนือของอิตาลี
  • อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก – บริเวณเยอรมนี ออสเตรีย เช็กเกีย สโลวะเกีย ฮังการี สโลวีเนีย โครเอเชีย และบางส่วนของบอสเนีย
  • อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก – บริเวณตอนกลางและตะวันตกของฝรั่งเศส

อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในปีค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

สรุปประวัติศาสตร์โดยย่อ

สรุปประวัติเยอรมนี เรียงลำดับเหตุการณ์ตามปีค.ศ. เพื่อความเข้าใจคร่าวๆ ตาม timeline

  • 509 ปีก่อนคริสตกาล – ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสกาล กำเนิดสาธารณรัฐโรมัน
  • 100 ปีก่อนคริสตกาล กลุ่มชนเจอร์แมนิกรุกเข้าชายแดนสาธารณรัฐโรมัน
  • ประมาณศตวรรษที่1 กำเนิดจักรวรรดิโรมัน
  • จักรวรรดิโรมันถูกแบ่ง
  • จักรวรรดิโรมันตะวันตก (ค.ศ.286- ค.ศ.476)
  • ย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรม ไปเมดิโอลานัม (หรือที่มิลานในปัจจุบัน) และย้ายอีกทีไปที่ราเวนนา
  • จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือเรียกอีกชื่อได้ว่า จักวรรดิไบแซนไทน์ (ค.ศ.330 – ค.ศ.1453)
  • ตั้งเมืองหลวงที่คอนสแตนติโนเปิล (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
  • ค.ศ.481 – ค.ศ.814 ชาวแฟรงก์เรืองอำนาจ ขยายอาณาเขตเพิ่มมากขึ้น
  • ค.ศ.800 พระสันตปาปารับรอง พระเจ้าชาร์เลอมาญ ในฐานะ “จักรพรรดิแห่งชาวโรมัน” มีพิธีสวมมงกุฏ ณ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในกรุงโรม
  • ค.ศ.962 พระเจ้าออตโต ได้รับการสวมมงกุฏจากพระสันตะปาปา เป็นจักรพรรดิออตโตที่1 (Otto I) ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรก แห่ง “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”
  • ค.ศ.962 – ค.ศ.1806 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
  • ในช่วงแรกๆจะเรียกว่า “ราชอาณาจักรแห่งชาวแฟรงก์ตะวันออก” หรือ “อาณาจักรแฟรงก์” ต่อมามีชื่ออย่างเป็นทางการคือ “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมัน”
  • ค.ศ.1033 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ผนวกรวมกับราชอาณาจักรเบอร์กันดี
  • ต่อมา จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ผนวกรวมกับโบฮีเมียอีก
  • แคว้นโบฮีเมีย เลื่อนสถานะเป็น ราชอาณาจักรโบฮีเมีย
  • ต่อมา ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย
  • ต่อมา ก็กลายเป็น จักรวรรดิออสเตรีย-อังการี
  • ต่อมาก็ล่มสลายลง กลายเป็น สาธารณรัฐเชคโกสโลวักที่1
  • จนในปัจจุบันแยกออกเป็น สาธารณรัฐเช็ก
  • ค.ศ.1056 เกิดการปฏิรูปศาสนา โดย นักปฏิรูปเกรกอเรียน ทำให้ “ผู้นำฆราวาส ไม่มีสิทธิในการเลือกพระสันตะปาปา”
  • เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่า ฝ่ายศาสนามีชัยเหนือฝ่ายฆราวาส
  • ค.ศ.1122 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เสื่อมถอย
  • ค.ศ.1138 – ค.ศ.1254 ราชวงศ์โฮเฮนชเตาเฟินปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
  • ช่วงหนึ่งทำสงครามกับพระสันตะปาปาที่อิตาลี ไม่สำเร็จ เลยย้ายไปตี ดินแดนด้านบนแทน
  • ช่วงท้ายจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นดินแดนที่ไร้จักรพรรดิ
  • และตั้งแต่ ค.ศ.1273 มีการผลัดกันเป็นกษัตริย์แห่งเยอรมัน ในสามตระกูล ได้แก่ ตระกูลฮับส์บูร์ก (Habsburg) ตระกูลลักแซมเบิร์ก(Luxembourg) และตระกูลวิตเตลสบาค(Wittelsbach)
  • ค.ศ.1312 พระเจ้าเฮนรีแห่งโบฮีเมีย จากตระกูลลักเซมเบิร์ก ได้รับการสวมมงกุฏเป็นจักรพรรดิ ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีจักรพรรดิอีกครั้ง แต่มีการแตกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย และไม่สามารถรวมกันได้อีก 600 ปี
  • ค.ศ.1350 ได้มีกาฬโรคระบาดเข้ามายังเยอรมนี ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายล้านคน
  • ค.ศ.1356 ได้มีการปรับปรุงระบบการปกครอง ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีการแต่งตั้งเจ้านครรัฐผู้คัดเลือก
  • ค.ศ.1437 พระเจ้าเฟรเดอริคที่3 แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
  • ทำให้ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ได้ปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ไปอีก400ปี จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ล่มสลายลง
  • ค.ศ.1495 ก่อตั้ง “สหราชรัฐแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”
  • ค.ศ.1548 นิกายลูเทอรัน (นิกายย่อยของโปรแตสแตนต์ นำโดยมาร์ติน ลูเธอร์) ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
  • ค.ศ.1618 – ค.ศ.1648 เกิดสงครามสามสิบปี
  • แรกสุด เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง นิกายโปรเตสแตนต์ และโรมันคาทอลิก ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
  • แต่สุดท้ายบานปลาย เป็นสงครามที่ไม่ได้มีเหตุผลใดเกี่ยวข้องกับศาสนาเลย
  • สงครามสามสิบปีก็ยุติลงด้วย สนธิสัญญามึนสเตอร์ (Teaty of Münster) ที่เป็นส่วนของสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย (Peace of Westphalia)
  • ค.ศ.1701 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดนเบียดจนเหลือดินแดนน้อยลง และเปลี่ยนเป็น อาณาจักร แห่ง ปรัสเซีย
  • ค.ศ.1805 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(อาณาจักร แห่ง ปรัสเซีย) ล่มสลายอย่างเป็นทางการ
  • ค.ศ.1806 – ค.ศ.1813 แคว้นต่างๆรวมตัวกันเป็น สมาพันธรัฐแห่งไรน์ ภายใต้นโปเลียน(ฝรั่งเศส)
  • ค.ศ.1813 นโปเลียนแพ้สงคราม สมาพันธรัฐแห่งไรน์ก็ถูกยุบไปด้วย
  • ค.ศ.1815 – ค.ศ.1866 กำเนิดสมาพันธรัฐเยอรมัน
  • ออสเตรีย และปรัสเซียเรืองอำนาจ
  • ค.ศ.1867 – ค.ศ.1871 กำเนิดสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ
  • ค.ศ.1871- ค.ศ.1918 กำเนิดจักรวรรดิเยอรมนี
  • ค.ศ.1914- ค.ศ.1918 เกิดสงครามโลกครั้งที่1
  • ค.ศ.1918 เยอรมันแพ้สงคราม จักรวรรดิเยอรมนีสิ้นสุดลง
  • ค.ศ.1919 – ค.ศ.1933 กำเนิดสาธารณรัฐไวมาร์
  • เกิดพรรคนาซีของฮิตเลอร์
  • ค.ศ.1939 – ค.ศ.1945 เกิดสงครามโลกครั้งที่2
  • ค.ศ.1945 นาซีเยอรมนี ล่มสลาย
  • ค.ศ.1947 – ค.ศ.1991 ช่วงที่เกิดสงครามเย็น
  • ค.ศ.1945 ประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 ส่วน
  • ค.ศ.1946 รวมดินแดนเยอรมนีในการปกครองของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือ เยอรมนีตะวันตก
  • ส่วนเยอรมนีตะวันออก ก็อยู่ในการปกครองของสหภาพโซเวียตฝ่ายเดียวเหมือนเดิม
  • ค.ศ.1964 สร้างกำแพงเบอร์ลิน
  • ค.ศ.1990 ทำลายกำแพงเบอร์ลินอย่างเป็นทางการ
  • ค.ศ.1990 เปิดการประชุมสองบวกสี่
  • ค.ศ.1991 ประเทศเยอรมนี มีอำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์

เยอรมนีปกครองในรูปแบบสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ระบบการปกครองของเยอรมนีมีพื้นฐานจากเอกสารรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2492 ซึ่งเรียกว่า Grundgesetz (กฎหมายพื้นฐาน) การเรียกกฎหมายนี้ว่า Grundgesetz แทน Verfassung (รัฐธรรมนูญ) เป็นความตั้งใจที่ว่าจะถูกแทนที่โดยรัฐธรรมนูญเมื่อเยอรมนีได้รวมเป็นรัฐเดียว การแก้ไขกฎหมายพื้นฐานจะต้องใช้เสียงมากกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งสองสภา มาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพื้นฐาน การแยกอำนาจ โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างรัฐธรรมนูญนั้นคงอยู่ตลอดกาล ไม่สามารถแก้ไขได้ ชื่อ Grundgesetz ยังคงใช้หลังการรวมประเทศเยอรมนี

รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ

ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ (เยอรมัน: Bundesland บุนเดสลันด์) ในจำนวนนี้ เบอร์ลินและฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ (เยอรมัน: Stadtstaaten ชตัดท์ชตาเทิน) ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมินและเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น (เยอรมัน: Flächenländer แฟลเชินแลนเดอร์) ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯ

มิวนิค (Munich)

เมืองที่ได้รับการขนานนามเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์เยอรมัน อยู่ทางใต้ของประเทศ ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เบียร์ เมืองแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในประเทศเยอรมนีเชียวนะ และยังเป็นบ้านของทีมฟุตบอลมืออาชีพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่างสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกอีกต่างหาก มิวนิคเป็นเมืองที่ร่ำรวยศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบบารอก เต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของวัฒนธรรมแบบบาวาเรียนแท้ๆ เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เขตเมืองมิวนิค คุณจะได้เห็นโบสถ์รูปทรงโดมแฝดคู่หนึ่ง สูงตระหง่านท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง โบสถ์แห่งนี้มีชื่อว่า โบสถ์เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อ (Frauenkirche) โกธิก โบสถ์พระแม่มารีทรงหัวหอมคู่ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบฉบับโกธิก เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ไม่คืและด้วยความเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์ มาเยือนมิวนิคทั้งทีต้องไม่พลาดชมโรงเบียร์แบบพื้นเมืองเยอรมันฮอฟบราวเฮาส์ ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสพลาตเซิลในตัวเมืองมิวนิค และหากมาช่วงกลางเดือนกันยายนเป็นต้นไป คุณจะมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเทศกาลเบียร์เยอรมัน อ็อกโทเบอร์เฟสต์(Oktoberfest) เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดขึ้นทุกปี

ไปเที่ยวช่วงไหนดี มิวนิกมีสภาพอากาศแบบภาคพื้นทวีป อุณหภูมิช่วงกลางวันและกลางคืนค่อนข้างแตกต่างกัน และอุณหภูมิในแต่ละฤดูสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่ารวดเร็วเพราะอิทธิพลลมอุ่นจากเทือกเขาแอลป์ ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปทัวร์ท่องเที่ยวมิวนิค คือ ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 – 22°C ช่วงที่ร้อนที่สุดจะอยู่ในเดือนกรกฎาคม และช่วงที่หนาวที่สุดคือ เดือนมกราคม ช่วงฤดูหนาวจะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งบางครั้งอาจมีฝนตกหนักในฤดูนี้ด้วย ไปเที่ยวฤดูร้อนจึงเหมาะกว่า ไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวมากมายให้หนักกระเป๋า

แฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt)

เมืองแห่งศูนย์กลางการเงิน ตั้งอยู่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำไมน์ ทางตะวันตกของประเทศ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารของโลก รวมถึงเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์ของเยอรมนี และสถาบันการเงินนานาชาติอีกกว่า 300 แห่ง สนามบินแฟรงค์เฟิร์ตจัดเป็นสนามบินที่มีความคับคั่งของการจราจรทางอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเมืองแห่งนี้ได้เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสนามบินและรถไฟ ทำให้คุณสามารถเดินทางเข้าออกจากเมืองนี้ไปยังเมืองต่างๆ ของเยอรมันได้อย่างง่ายดาย ที่นี่จึงมีอาคารแสดงสินค้าที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มากที่สุดในเยอรมัน มีการจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ มากมาย เช่น งานแสดงสินค้าตกแต่งบ้าน งานแสดงสินค้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาส หากคุณไปเยือนในช่วงเวลาการจัดงานดังกล่าว ก็จะพบกับความอลังการยิ่งใหญ่ของขบวนสินค้าหลากหลาย ที่รอให้คุณได้ช้อปปิ้งกลับไป แฟรงค์เฟิร์ตอาจดูเป็นเมืองที่มีความทันสมัย เต็มไปด้วยอาคารสูงตามแบบฉบับเมืองใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ที่มีเรื่องราวความเป็นมาน่าสนใจไม่แพ้เมืองอื่นๆ อย่างมหาวิหารเซนท์บาร์โทโลมิว (Saint Bartholomew) มหาวิหารที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และโบสถ์เซนต์พอล (Saint Paul) อนุสรณ์ประวัติศาสตร์ และสัญลักษณ์ทางการเมือง เพราะเคยเป็นที่เลือกตั้งตามระบบรัฐธรรมนูญแห่งแรกของเยอรมันและที่เมืองนี้ยังสวนพฤกษศาสตร์ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และสัตว์นานาชนิดให้ได้ไปพักผ่อนหย่อนใจ เรียกว่าในความพลุกพล่านของเมืองยังมีความสงบ

ไปเที่ยวช่วงไหนดี แฟรงค์เฟิร์ต มีลักษณะอากาศแบบมหาสมุทรคือ มีอุณหูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว และมีอุณหภูมิอบอุ่นขึ้นในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยประจำปีของที่นี่จะอยู่ที่ประมาณ 10.1°C ช่วงฤดูหนาวจะอยู่ระหว่างเดือนเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิต่ำสุดช่วงเดือนมกราคมอยู่ที่ประมาณ 1.4°C ช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนสิงหาคม เป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศอุ่นกำลังดี เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด โดยอุณหภูมิอยู่ที 18 – 20°C เท่านั้น

ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)

เมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ อายุกว่า 600 ปี ไฮเดลเบิร์กอยู่ทางตอนใต้ของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต วางตัวอยู่บนบนเนินเขา ซึ่งมีแม่น้ำเนคการ์ไหลผ่าน เป็นเมืองที่สุดแสนจะคลาสสิคและโรแมนติคอย่าบอกใคร มีการแบ่งเขตออกเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เมื่อคุณย่างเข้าไปยังบริเวณตัวเมืองเก่า คุณจะพบบ้านเรือนสวยงามกับสถาปัตยกรรมเก่าๆ ตั้งอยู่เรียงราย โดยมีแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar) แม่น้ำสายหลักของเมืองคั่นกลาง และยังได้พบกับปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle) ปราสาทเก่าแก่ไฮไลท์เด่นของเมือง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การเดินทางขึ้นไปยังปราสาททำได้ 2 วิธี คือ เดินขึ้นไปหรือนั่งรถราง เมื่อเท้าคุณก้าวย่างสู่เขตปราสาทคุณจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายและเสน่ห์ชวนหลงใหล กับธรรมชาติสวยงามแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในเทพนิยายหรือไม่ก็กำลังอยู่ในยุคของลอร์ดออฟแลนด์ที่มีอัศวิน เจ้าชาย และเจ้าหญิง ภายในปราสาทมีห้องเก็บไวน์ที่มีถังบ่มไวน์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า Great Barrel และเมื่อกลับลงมาจากปราสาท คุณจะได้พบกับเอกลักษณ์อีกแห่งของไฮเดลเบิร์ก นั่นคือ สะพานคาล ธีโอดอร์ ฮ้อยส์ บรุคเคอ (Karl-Theodor-Heuss Brücke) สะพานเก่าแก่ของเมืองที่เชื่อมเมืองทั้งสองฝั่งแม่น้ำไว้ด้วยกัน

ไปเที่ยวช่วงไหนดี ไฮเดลเบิร์กมีสภาพอากาศแบบภาคพื้นทวีปใกล้เคียงกับกับมิวนิคเพราะอยู่ทางตอนใต้เหมือนกัน อากาศช่วงกลางวันและกลางคืนค่อนข้างแตกต่าง และเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วจากอิทธิพลลมอุ่นจากเทือกเขาแอลป์ ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปเที่ยวคือ เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 – 22°C

พอทสดัม (Potsdam)

เมืองมรดกโลกของเยอรมัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำฮาเฟิล ทางตะวันออกของประเทศ มีชายแดนติดกับเบอร์ลิน เมืองแห่งนี้อุดมไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทะเลสาบเชื่อมต่ออยู่ทั่วทั้งพื้นที่ของเมือง สถาปัตยกรรมของเมืองแห่งนี้อย่างหมู่บ้านดัตช์ ที่มีบ้านเรือนจำนวน 134 หลัง ปลูกสร้างด้วยอิฐสีแดงสามชั้นในสไตล์แบบดัตช์ เป็นเหมือนกับแม่แหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและเก็บภาพประทับใจกลับไป เมืองแห่งนี้โดดเด่นในความงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมพระราชวังซองส์ ซูซี (Sanssoucci Palace) เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ “พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลิน” เมื่อย่างเท้าเข้าไปยังบริเวณ จะพบความสวยงามให้ความรู้สึกไร้กังวลเหมือนดั่งความหมายของชื่อพระราชวัง ความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ทำให้ถูกจัดเป็นคู่แข่งกับพระราชวังแวร์ซายส์ที่ฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว แต่ซองส์ ซูซี มีเอกลักษณ์ในความที่ดูเป็นส่วนตัวมากกว่า และรูปสถาปัตยกรรมเป็นแบบบารอก พระราชวังอีกหนึ่งแห่งที่น่าท่องเที่ยวไม่แพ้กันคือ Orangery Palace (Orangerieschloss) เป็นพระราชวังสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองส์สร้างโดยพระเจ้าฟรีดริชที่ 4 มีไว้ต้อนรับแขกบบ้านแขกเมืองในอดีต และชื่อเกี่ยวกับส้มเพราะมีการปลูกสวนส้มไว้เป็นที่เดินเล่นชมวิว นอกจากพระราชวังสวยๆ พอทสดัมยังมีสถานที่แห่งความทรงจำให้หวนนึกถึงอดีตการแบ่งแยกประเทศ อย่างสะพานกลีนิเคอ (Glienicker Brücke / The Bridge of Spies) สะพานข้ามแดนระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกในอดีต ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเยอรมันที่ดึงดูดใจผู้คนจากทั่วโลก

ไปเที่ยวช่วงไหนดี ด้วยเขตแดนที่อยู่ติดกับเบอร์ลิน พอทสดัมจึงมีสภาพอากาศที่ไม่แตกต่างจากเบอร์ลินเท่าไหร่นัก ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปเที่ยว คือมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่อบอุ่นที่สุด อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 16.7 – 17.9°C ส่วนอากาศหนาวคือ ช่วงตุลาคมและพฤศจิกายนอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6°C และช่วงที่หนาวที่สุดอุณหภูมิติดลบ คือ ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ หากชอบอากาศเย็นกำลังดีไปช่วงกลางปีจะเหมาะสมที่สุด